[แชร์ประสบการณ์] My First Marathon Stories

Pennapha Anuhanayonn
5 min readFeb 10, 2020

--

เพราะมาราธอนแรกมีแค่ครั้งเดียว …

ตลาดวายหมดแล้ว รอจนปิดงานเลยจ้า

จากจุดเริ่มต้นเพียงแค่วิ่งฟันรัน 5 กิโลเมตรขำๆ เมื่อปี 2015 ที่ตอนนั้นก็เหนื่อยแทบตายอยู่แล้ว 555+ แต่วันนี้เราสามารถวิ่งฟูลมาราธอนได้แล้วนะ

Amazing Thailand Marathon Bangkok 2020 (ATMBKK2020)

ตัดสินใจสมัครฟูลมาราธอนแรกที่งานวิ่งผ่าเมืองตั้งแต่วันแรกที่เปิดรับสมัคร (28.10.2019) คำนวณเวลาดูแล้ว ยังไงก็ซ้อมทันแน่ ๆ เพราะกว่าจะวิ่งก็วันที่ 02.02.2020 มีเวลาตั้ง 3 เดือนเต็มในการเตรียมตัวเตรียมใจ

Amazing Thailand Marathon Bangkok 2020

แต่เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อย ๆ หนึ่งเดือนก็แล้ว สองเดือนก็แล้ว ก็ยังไม่การซ้อมใด ๆ แถมไม่มีแผนการซ้อมใด ๆ ในหัวด้วย แบบนี้แหละน๊าที่เค้ามักจะพูดกันว่า “ตอนสมัครวิ่งสมัครเร็วอย่างกับเสื้อชีตาร์ เวลาวิ่งจริงนี่หมาดี ๆ นี่แหละ 555+”

สารภาพตามตรงเลยว่า “ไม่มีตารางซ้อม” แต่ … ไม่ได้หมายความว่า “ไม่ซ้อม” นะจ๊ะ

ต้องบอกก่อนว่าโดยปกติแล้วเป็นคนที่วิ่งออกกำลังกายเป็นประจำอยู่แล้ว

  • (ถ้ามีเวลา) หลังเลิกงาน มีเข้าฟิตเนสบ้าง
  • (ถ้าตื่น) เสาร์-อาทิตย์ มีวิ่งที่สวนสาธารณะแถวบ้านบ้าง
  • สมัครงานวิ่งเทรลต่างจังหวัดบ้าง ปีละ 4–5 ครั้ง ระยะทางประมาณ 20-30km
  • ซ้อมวิ่งเทรลหรือออกทริปวิ่งกับเพื่อน ๆ บ้าง แล้วแต่โอกาส

โดยความคาดหวังในการวิ่งฟูลมาราธอนครั้งแรกคือ … แค่ทัน cut-off ก็พอแล้ว

Train and Prepare :

เนื่องจากมีเวลา 3 เดือนเต็ม ๆ ในการเตรียมตัว ดังน้ันใน 2 เดือนแรกเราจึง … ไม่เตรียมตัวใด ๆ (ไม่ควรลอกเลียนแบบน๊า) ยังคงนิ่งนอนใจวิ่งตามใจฉัน

โดยที่ระยะทางในการวิ่งก็จะอยู่ที่ประมาณ 5–15km ขึ้นอยู่กับอารมณ์และเป็นการวิ่งลู่เสียเป็นส่วนใหญ่

จนกระทั่งเดือนสุดท้าย ความเครียดและกังวลก็เริ่มเกิดขึ้น “ไม่ซ้อมไม่ได้แล้วนะ” ถึงแม้ว่าจะเคยผ่านวิ่งเทรล 36km มาแล้วก็เถอะ แต่ … “ตอนนั้นกับตอนนี้มันเหมือนกันซะที่ไหน

ด้วยสภาพร่างกายและการฝึกซ้อมอะไรต่าง ๆ ที่ 2–3 เดือนมานี้ก็ไม่ได้วิ่งยาวเลยด้วย ดังนั้นแผนการซ้อมฉบับเร่งด่วน ก็คือ … ต้องซ้อมให้ถึง 30km เป็นอย่างต่ำ

ตารางการซ้อม 1 เดือนก่อนวิ่งฟูลมาราธอน

สัปดาห์ที่ #1 : 04/01/2020

เนื่องจากมีทริปวิ่งเทรลกับ Noroutetoroad ที่สวนผึ้ง ก็เขาเขียว-ขาแหลมนั่นแหละเป็นการซ้อมไปมาราธอนแล้วกันนะ ถือเป็นการฝึกความแข็งแรงของขาและฝึกการเป็นตะคริวไปด้วย เรียกได้ว่าตะคริวกินเรียบแทบเดินไม่ได้เลยทีเดียว

แต่สิ่งที่ได้เรียนรู้จากวันนี้นี้คือ

  • การนอนให้เพียงพอเป็นสิ่งสำคัญ จะมานอนเที่ยงคืนตื่นตี 3 คือไม่เอาอีกแล้ว
  • การโหลดให้เพียงพอก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน จะมากินโจ๊กสวย ๆ แล้ววิ่งขึ้นเขาคือบ้าบอมาก

สัปดาห์ที่ #2 : 11/01/2020

เตรียมตัวนอนตั้งแต่ 2 ทุ่มกว่า ๆ เพื่อที่จะได้มีเวลาพักผ่อน 7–8 ชั่วโมง เพราะวางแผนไว้ว่าจะตื่นสักตี 4 และเริ่มวิ่งตอนตี 5 เพื่อจะได้ไม่วิ่งปิ้งแดดนานจนเกินไป

แต่สิ่งที่คิดว่าไม่น่าจะยาก ก็เป็นสิ่งที่ยากไปซะอย่างนั้น การนอนเร็วเป็นเรื่องที่ยากอย่างไม่น่าเชื่อ กว่าจะหลับได้ก็กลิ้งไปกลิ้งมาเกือบ 5 ทุ่มแล้ว

ส่วนแผนของวันนี้คือวิ่งไปเรื่อย ๆ สัก 30km ซิกแซกไปให้ทั่วสวนหลวง ร.9 เอาระยะให้ได้ก่อน พอถึงกิโลที่ 21 ก็เริ่มเดินละ รู้สึกยังมีอาการบาดเจ็บจากการขึ้นเขาเมื่อสัปดาห์ก่อนอยู่มาก แค่เดินก็เจ็บเอาเรื่องเหมือนกัน

ดังนั้น เจ็บก็ไม่ฝืนแหละ ไว้ค่อยแก้มือใหม่ วันนี้ก็เลยจบแค่ 25km เท่านั้น

อ่อ … เกือบลืมบอก ตอนซ้อมวิ่งก็จะพกขวดน้ำ/เกลือแร่ไป 1 ขวด เพื่อจิบทุก ๆ 2km มีแวะล้างหน้า เอาน้ำราดหัวเพื่อลดความร้อนของร่างกายบ้าง ตรงลานออกกำลังกาย เนี่ยแหละ เพราะตรงนี้ล้างหน้าฟรี ไม่เสียตังค์

อีกเรื่องที่สำคัญ … ทุกครั้งในการวิ่งจะใช้เสื้อ กางเกง ถุงเท้า รองเท้า รวมถึง sport bra และ underwear ด้วย ที่เราจะใช้ในวันวิ่งจริง เพื่อทดสอบการเสียดสีที่อาจจะเกิดขึ้นด้วย จะได้ไม่ไปทรยศและทะเลาะกันในวันจริง

สัปดาห์ที่ #3 : 19/01/2020

แผนของวันนี้คือซ้อมนอน 2 ทุ่ม (ตลกเนอะ) และวิ่ง 30km เหมือนเคย ซึ่งการนอนเร็วก็ยังเป็นเรื่องที่ยากเหมือนเคย แต่วันนี้ดีหน่อย สัก 3 ทุ่มก็เริ่มเคลิ้ม ๆ ละ

ตื่นขึ้นอีกทีตอนตี 4 รู้สึกได้เลยว่า การพักผ่อนเพียงพอมันเป็นแบบนี้นี่เอง สดชื่น!!

แล้ว mission เราก็สำเร็จด้วยนะ สามารถวิ่งคนเดียวเหงา ๆ ที่สวนหลวง ร.9 แต่วันนี้มีแวะไปเที่ยวบึงหนองบอนนิดหน่อยแก้เบื่อจะได้ครบ 30km แต่พอกลับมาที่สวนหลวง ร.9 จะเข้ามาเอารถ เจ้าหน้าที่จะเก็บตังค์ซะนี่

สำหรับที่สวนหลวง ร.9 ถ้าเข้ามาหลังจาก 09.00 น. เป็นต้นไป จะคิดค่าเข้าชมคนละ 10 บาทนะ แต่เรามาวิ่งตั้งแต่ตี 5 ไง ก็เลยฟรีไป

วันนี้มีอาการบาดเจ็บที่ฝ่าเท้าบ้าง แต่ก็ให้มันเจ็บซะให้พอ วันจริงจะได้สบายๆ

สัปดาห์ที่ #4 : 27/01/2020

แผนของสัปดาห์นี้ก็ยังเหมือนเดิม นั่นคือ ซ้อมนอนเร็ว และวิ่งให้ได้ 30km ซึ่งการนอนเร็วในสัปดาห์นี้ไม่ค่อยประสบผลสำเร็จเอาซะเลย ตอนแรกตั้งใจว่าจะวิ่งวัน ส-อ แต่ … กว่าจะหลับได้ก็นู้น เที่ยงคืน 2 วันติด

และเมื่อเรารู้แล้วว่าร่างกายไม่พร้อม ก็ควรหาโอกาสใหม่ที่เหมาะสม

โชคดีที่วันจันทร์เป็นวันหยุดตรุษจีนด้วย ก็ขอแก้มือวันนี้แล้วกัน ต้องนอนเร็วให้ได้ และก็สำเร็จด้วย

วันนี้มี mission เพิ่มเติมคือ “ซ้อมเบื่อ” เราจะวิ่งที่สวนหลวง ร.9 ด้วยลูปเดิม 6 รอบ 30km ให้มันเบื่อกันไปเลย ซึ่งก็บรรลุเป้าหมายนะ โคตรเบื่อเลยแหละ

แต่จะะว่าไปข้อดีของสวนหลวง ร.9 ก็คือรอบละ 5km เนี่ยแหละ ถ้าไปวิ่งที่อื่นสงสัยต้องวนอีกเยอะกว่าจะครบ

สำหรับสิ่งที่ได้เรียนรู้จากการวิ่งยาว 3 ครั้งนี้ … “วิ่งคนเดียวก็สนุกดีนะ

มาที่การเตรียมตัวเรื่องสุดท้าย สำหรับการวิ่งครั้งนี้เราต้องวิ่งตอนตี 3 ซึ่งถือว่าเช้ามากๆ และแม้ว่าเราจะซ้อมนอนเร็วมาบ้างแล้ว (จริงจังนะเนี่ย) แถมบ้านเราก็ห่างจากจุด START (ราชมังคลากีฬาสถาน) แค่ 25km เท่านั้น ดูจากกูเกิลแล้วน่าจะใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 30 นาทีได้

แต่ … ครั้งนี้มันสำคัญมากๆ เลยนะ ก็เลยตัดสินใจว่าจะหาที่พักที่ใกล้กับจุด START ให้มากที่สุด เพื่อที่จะได้มีเวลาพักผ่อนมาก ๆ และไม่เสียเวลาในการเดินทางด้วย

ก็เลยได้ที่พักที่ Bangkok Interplace ซึ่งใกล้กับจุด START มากๆ แค่เดินข้ามถนนก็ถึงแล้ว แถมมีที่จอดรถอีกต่างหาก

Before Race Day :

แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น … เมนส์มาจ้า อุปสรรคเยอะจริงวุ้ย!!!

นั่งทำใจอยู่นานว่าจะไปต่อหรือเทดีนะ อุตส่าห์ซ้อม เสียดายค่าสมัคร เสียดายค่าโรงแรมด้วย สุดท้ายก็ … กินยา arcoxia เข้าไป 1 เม็ด แล้วก็รีบ ๆ นอนซะ

แต่ก็อย่างว่าแหละ การนอนเร็วมันไม่ใช่เรื่องง่าย นี่ขนาดซ้อมมาแล้วนะ ตั้งท่าจะนอนตั้งแต่ 5 โมงเย็น หลับ ๆ ตื่น ๆ แถมปวดท้องอีกต่างหาก กว่าจะหลับจริง ๆ ก็เกือบ 4 ทุ่มได้สงสัยจะตื่นเต้น

มาพูดถึงสิ่งของที่จะนำติดตัวไปในการวิ่งครั้งนี้กันดีกว่า ว่านำอะไรไปบ้าง

  • หมวกกันแดด
  • แว่นตากันแดด
  • เจลให้พลังงาน (ถ้าเรซไหนเลี้ยงดี ๆ แทบไม่ต้องใช้เลย)
  • ยาแก้ตะคริว (Cramfix)
  • ยาดม
  • ลิปสติก (อันนี้สำคัญมาก เดี๋ยวปากซีด)
  • นาฬิกา อันนี้ห้ามลืม
  • สุดท้ายสิ่งของทั้งหมดเราจะยัดไปในกระเป๋าคาดเอว Naked

งานนี้มีทรยศนิดๆ ซ้อมวิ่งด้วยเสื้ออีกตัว แต่วันงาน Expo เห็นเสื้อที่ระลึกระยะฟูลมาราธอนสวยดี เลยของเสี่ยงซะหน่อย

Race Day :

01.30 น. ตื่นขึ้นมาด้วยอาการปวดท้องหน่อย ๆ อาบน้ำ กินข้าวต้มมัด กินเจลให้พลังงาน กินโดนัท และสุดท้ายก็อัด arcoxia ไปอีก 1 เม็ด สู้โว้ย!!

02.30 น. Stand By หน้าจุดเช็คบิบ วันนี้เรามีสมาชิกร่วมชะตากรรมทั้งหมด 2 ท่าน ลูกเกด (สาวหน้าแน่น) คนดีคนเดิมผู้เป็นแรงบันดาลใจให้ขยับเมาส์สมัครฟูลมาราธอนแรก และพี่เอ๋ พี่ชายขี้เหงาที่หาบิบมาวิ่งเป็นเพื่อนพวกเราด้วย

0–11km

หลังจากปล่อยตัวเหล่า elite ไปแล้ว จุดพลุดราม่าไปแล้ว (ตอนนั้นก็คิดแค่ว่าดีเนอะเพิ่ม PM2.5 เข้าไปอีก ประชด!!) จากนั้นก็เริ่มทะยอยปล่อยตัวนักวิ่งที่ละ block เพื่อไม่ให้เหยียบกันตาย เนื่องจากระยะฟูลมาราธอนและฮาล์ฟปล่อยตัวเวลาเดียวกัน คนจึงเยอะมากๆ ตอนใกล้ถึงเวลาปล่อยตัวก็เริ่มรู้สึกตื่นเต้นหน่อยๆ ละ

ออก Start ก็เริ่มวิ่งไปกันเรื่อยๆ ออกจากถนนรามคำแหง 24 ความรู้สึกตอนนั้นคือ ทำไมเพื่อนฉันวิ่งกันไวจังนะ ซัดกันซะ Pace 7 ต้นๆ ไหนว่าไปกันช้าๆ ไง นี่ซ้อมมา Pace 8 นะ ไอ้เราก็คิดในใจ … ก็ได้ๆ ไหลๆๆ

วิ่งกันไปเรื่อยๆ บนถนนพระรามเก้า มุ่งหน้าสู่อนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ขึ้นสะพานยกระดับ ผ่านเซนทรัลพระรามเก้า ลอดอุโมงค์ดินแดง แวะกินน้ำทุกจุดน้ำที่มีให้ มีอะไรกินหมด

จากนั้นเพื่อนสาวก็พูดขึ้นมาว่า “ขอเพซ 8 ได้ไหม”

โอ้ย … ในใจตอนนั้น นี่วิ่งตามเพื่อนเลยนะ โถ่ … ไม่บอก เราก็เหนื่อยเหมือนกัน!!!

11–21km

ครั้งหนึ่งในชีวิต … ฉันยืนกินน้ำลั้นลาอยู่ใจกลางอนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ คูลมาก!!! จากนั้นก็วิ่งตรงไปทางถนนราชวิถี ผ่านทางรถไฟ วิ่งวนรอบสวนจิตรลดา

ช่วงนี้ต้องบอกเลยว่า enjoy มาก แต่ enjoy eating นะ กินทุกอย่างที่ขวางหน้าจริงๆ น้ำ เกลือแร่ กล้วย แตงโม มาชเมลโล่ ลูกชุบ แม้แต่ไอติม มีอะไรจัดมาให้หมด ท้องร้องแล้ว

เห็นเราสองคนไหม

ขอพูดถึงเรื่องการปิดถนนนิดนึงละกันเยอะ นี่ถือเป็นการวิ่งที่ปิดถนนที่เรียกได้ว่าปลอดภัยกับนักวิ่งมาก ๆ ปิด 100% จริง ๆ (ก็คิดอยู่เหมือนกันว่าจะเดือดร้อนชาวบ้านไหมนะ แต่ที่ได้ยินมาหลังจากวิ่งเสร็จก็ เละ!!)

สำหรับสภาพร่างกายตอนนี้ ถือว่ายังสบาย ๆ มาก อาจจะเป็นเพราะวิ่งช้ากว่าปกติ

21–30km

สวัสดีสะพานพระรามแปด นี่ถือเป็นครั้งแรกเลยนะที่ได้มาวิ่งบนนี้ จากนั้นก็วิ่งต่อมาเรื่อย ๆ บนทางคู่ขนานลอยฟ้าบรมราชชนนี ซึ่งตอนนี้ก็เริ่มเหงา ๆ แล้วนะ ณ จุดนี้ก็จะเหลือแต่นักวิ่ง 42km เท่านั้น ข้างหน้าก็จะเห็นเสื้อสีชมพูๆ ไกลสุดลูกหูลูกตา มองไปข้างหน้าแล้วก็ท้อ … PM 2.5 ทั้งนั้น วิ่งเสร็จจะป่วยไหมเรา

อ่อ … พวกเรา 3 คนติดป้ายมาราธอนแรกด้วยนะ ก็จะมีเพื่อนๆ นักวิ่งมาทักทายและให้กำลังใจ ให้สู้ๆ ต้องขอบคุณทุกๆ คนมากๆ เลยนะคะ

30–42.195km

แล้วระยะทำการที่ซ้อมมาก็สิ้นสุดลง นั่นคือ 30km ณ จุดนี้ก็เริ่มมีอาการเจ็บฝ่าเท้า แต่ก็ยังไหวอยู่นะ ยังไงก็น่าจะจบแน่ๆ

หลังจากกลับตัวบนทางคู่ขนานลอยฟ้าบรมราชชนนีในกิโลเมตรที่ 31 เราก็เจอจุดที่จะทำให้เรา enjoy อีกครั้ง ของกินเพียบ ได้ไอติมไป 1 แท่งก็ชื่นใจ รู้สึกว่าเป็นไอติมสตรอว์เบอร์รีที่อร่อยสุดๆ ไปเลย

กลับมาที่สมาชิกของเราสักหน่อย ดูเหมือนจะมีอาการเมื่อยล้าและบาดเจ็บกันอยู่พอสมควร แต่ทั้งสองคนก็ใจสู้มากๆ

ตลอดเส้นทางสิ่งที่ทำให้หายเบื่อและไม่เหงาก็คือเสียงบ่นตลอดทางของลูกเกด และก็เสียงของ (โค้ช) พี่เอ๋ที่คอยเชียร์ให้ลูกเกดวิ่ง

“วิ่งอีก 5 เสาไฟนะ ไหวไหม”
“วิ่งไปตรงป้ายเขียวๆ ไหวไหม”
“วิ่งไปให้ถึงป้ายโรงพยาบาลนะ”

ซึ่งก็ต้องบอกเลยว่า … เพลินดีนะ

ส่วนเรานั้น … เพื่อนวิ่งเราก็วิ่ง เพื่อนเดินเราก็เดิน เอาที่เพื่อนสบายกายสบายใจเลยจ้า เงียบๆ ไม่บ่นจ้า

ตอนนี้เดินทางจนมาถึงกิโลเมตรที่ 40 แล้วนะ ซึ่งกำลังข้ามสะพานพระรามแปด (ขากลับ) และนี่ก็อาจจะเป็นรูปเดี่ยวที่ดีที่สุดในสนามนี้ (ต้องขออภัยเพื่อนร่วมเฟรมด้วยนะคะ)

หลังจากลงจากสะพานมาแล้ว ก็รู้สึกดีใจมากเลยค่ะ หมายถึง เพื่อนด้านหลังนะคะ ดีใจอะไรเบอร์นั้น โบกมือสวยๆ ก็พอแล้วหละ (หมั่นไส้ตัวเองนิดๆ)

ตัดมาที่หน้าเส้นชัย … ซึ่งพวกเราก็ทำสำเร็จทัน cut-off จนได้ ภายในเวลา 6.30hr. เป็นการวิ่งที่สนุกสนานแม้จะเมื่อยล้า เบื่อนิดๆ บ่นหน่อยๆ วิ่งบ้าง เดินบ้าง ก็ค่อย ๆ ไป สุดท้ายก็จบแบบไม่เจ็บ เดินช็อปปิ้งต่อได้สบายๆ 555+

โฉมหน้าสองสาวมาราธอนแรก ขอบคุณลูกเกดมากๆ สำหรับป้ายมาราธอนแรกนะจ๊ะ ดีใจมากๆ ที่ได้มีประสบการณ์ดีๆ แบบนี้ร่วมกัน

เป็นไงหละวิ่งฟูลจบเพื่อนก็ยังหน้าแน่นอยู่เลยจ้า ส่วนเรานั้น … หมอง หมองเลย

ขอบคุณพี่เอ๋อีกคนนะคะ ที่มาวิ่งสนุกๆ ด้วยกันวันนี้

สุดท้ายนี้ก็ …

  • มาราธอนแรกไม่ใช่เรื่องยากถ้าคุณซ้อม
  • คุณจะไม่เจอปีศาลกิโลที่ 35 ถ้าคุณซ้อมเช่นกัน
  • การนอนหลับและกินให้เพียงพอเป็นสิ่งสำคัญมาก อย่าประมาท
  • หมั่นเติมพลังงานอย่างสม่ำเสมอในระหว่างวิ่ง อย่าประมาทเช่นกัน

จบแล้วจ้า เป็นมาราธอนเน่อร์แล้ว … ถึงช้าเป็นเต่าแต่เราก็เข้าเส้ยชัยน๊า

--

--